เหมือนไม่ยินดียินร้าย


        วิ. ขณะที่มีความจงใจที่จะรู้กับการที่ฟังแล้วจิตน้อมที่จะไปรู้ เช่น กล่าวถึงเรื่องผัสสะ ก็มีจิตที่คิดไปน้อมไปที่จะรู้เป็นตัวตนที่จะไปจงใจจะรู้หรือเปล่าครับ

        สุ. คุณวิชัยเริ่มเห็นความจงใจ ถูกต้องไหม ก่อนที่จะมีการระลึกได้ มีเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟัง มีลักษณะปรากฏให้สติรู้ได้ เพราะฉะนั้นแม้เราจะกล่าวด้วยจิตเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ลักษณะของเจตนา อะไรก็ตามแต่ไม่ได้ปรากฏจนกว่าจะมีการระลึก ซึ่งขณะนั้นความเป็นตัวตนจะมากหรือจะน้อย กับการที่ได้อบรมจนสามารถที่จะประจักษ์เป็นลำดับ ต้องเป็นความต่างกันของสติปัฏฐานขั้นเริ่มต้นกับขั้นที่ค่อยๆ รู้จนกระทั่งลักษณะนั้นปรากฏกับปัญญาระดับที่แทงตลอด คือรู้ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมนั้นในขณะนั้น ด้วยเหตุนี้ก็จะมีความเป็นเรารู้ที่คนนั้นจะรู้ได้ว่าถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด แม้ลักษณะนั้นก็ไม่ปรากฏ แต่เมื่อปรากฏแล้วเป็นเรา มีความเป็นเรา ด้วยเหตุนี้ความหมายของเจริญสติปัฏฐานจึงหมายความว่าถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด สติเจริญไม่ได้เลย เจริญสติคือตัวสติที่ระลึกลักษณธของสภาพธรรมเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็มีปัจจัยเกิดอีก แล้วก็ดับไปเรื่อยๆ จนกว่ามีความเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา จะต้องเป็นการรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม ด้วยเหตุนี้ความจงใจความตั้งใจ ความติดข้องซึ่งเคยมีแต่ชื่อ หรือแม้แต่การยึดด้วยความเป็นเราก็จะปรากฏตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง จนกว่าจะไม่ใช่เรา แม้สติก็ไม่ใช่เรา จนกว่าจะถึงขั้นที่ไม่ยินดียินร้ายจริงๆ ซึ่งไม่ยินดียินร้ายในขณะที่สติปัฏฐานไม่เกิดเป็นความไม่ยินดียินร้ายในความนึกคิด แต่ว่าใจจริงๆ ยังไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นแม้ไม่ยินดียินร้ายที่เราคิดเหมือนกับว่าเราไม่ยินดียินร้ายแต่ก็เป็นเรา แล้วจริงๆ ไม่ยินดียินร้ายจริงหรือเปล่า เพราะเหตุว่าเมื่อเห็นแล้วใครจะกั้นโลภะหรือว่าโทสะซึ่งได้เกิดเพราะอนุสัยที่สะสมมาอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ทั้งหมด พุทธศาสนา คำสอนของผู้ทรงตรัสรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องรู้โดยตลอดเพื่ออนุเคราะห์ให้สัตว์โลกมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้ สามารถที่จะรู้แจ้งได้ ดับกิเลสได้ แต่ต้องอบรม และเป็นผู้ที่ตรง อย่างขณะที่ว่าขณะนั้นเป็นความจงใจ จริงๆ ความจงใจก็ดับแล้ว แต่ว่าไม่รู้ ความไม่รู้จะตามลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่รู้หมดเลย เยอะหมดเลย ทุกอย่างที่พูด ไม่รู้ทั้งนั้น จนกว่าสติสัมปชัญญะจะค่อยๆ ระลึก ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เห็นความเป็นตัวตน ค่อยๆ เห็นความที่ยังคงสงสัยในลักษณะของสภาพธรรม แม้ว่าลักษณะนั้นก็เป็นความจงใจก็คือลักษณะหนึ่งดับด้วย ไม่ใช่เราด้วย กว่าจะถึงก็จะรู้ได้เลยว่าเป็นการอบรมปัญญา รบกับใคร ปัญญา โลภะ อวิชชา และอกุศลทั้งหลาย ไม่ได้ไปรบกับคนอื่นเลย นักรบ

        วิ. พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเจตสิก ๕๒ ประเภทก็ยังไม่ปรากฏในชีวิตประจำวัน สติระลึกในสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่ามีสภาพธรรมอื่นที่ยังไม่ปรากฏเลย ปัญญาจะละคลายความสงสัยในสิ่งที่ไม่ปรากฏได้ไหม

        สุ. ไม่ปรากฏเพราะสติไม่ได้ระลึกที่ลักษณะนั้น ยังไงก็ไม่ปรากฏเพราะสติไม่ได้ระลึก อย่างแข็งขณะนี้มี ก็เกิดแล้วก็ดับไป ไม่ทันจะรู้เนื้อรู้ตัว เป็นเรื่องเป็นราวเป็นความคิดนึกสืบต่อเพราะสติไม่ได้เกิดรู้ตรงแข็ง อยู่ที่แข็งชั่วขณะเหมือนกับกายวิญญาณที่กำลังรู้แข็ง ไม่ได้ต่างกันเลย กายวิญญาณรู้แข็งๆ จึงปรากฏ ต่อจากนั้นสติเกิดรู้ต่อตรงนั้นเลยเป็นปกติธรรมดา แต่ขณะนั้นก็จะรู้ว่าขณะนั้นสติรู้ตรงแข็ง ซึ่งวันหนึ่งๆ มี ๖ ทาง แล้วแต่ว่าสติจะรู้ตรงไหน

        วิ. ความคิดในขั้น เช่นศึกษาเรื่องของผัสสะ ท่านก็แสดงลักษณะของผัสสะ ก็มีความคิดน้อมไปที่จะรู้ในลักษณะของผัสสะ แต่ก็สงสัยว่านี่ใช่หรือเปล่า ศึกษาว่ามีสภาพรู้ มีธาตุรู้ก็ต้องมีผัสสะด้วย

        สุ. แต่เป็นเราน้อมไป ซึ่งขณะนี้กำลังฟังสภาพธรรมที่เป็นสังขารขันธ์ กำลังน้อมที่จะเข้าใจ ค่อยๆ ที่จะมั่นคงว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ โดยไม่มีเราต่างหากที่จะไปทำอะไรเลย ด้วยเหตุนี้จึงได้ทรงแสดงตามความเป็นจริง แม้แต่สังขารขันธ์ก็เป็นสังขารขันธ์ แต่ทีนี้ความเป็นเรามากมายต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ละ ก็มีผ้าสกปรกผืนดำใหญ่อยู่ผืนหนึ่งแล้วทำยังไงถึงจะค่อยๆ จางลงไป ครั้งเดียวที่ซักคงไม่ได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 205


    หมายเลข 10681
    25 ม.ค. 2567