เราขี้เกียจหรือขี้เกียจเป็นธรรม


        ผู้ถาม อยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องความขี้เกียจ คือความขี้เกียจมีจริงแน่นอน เป็นธรรมด้วย แล้วพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องความขี้เกียจ

        สุ. ก็สอนว่าเป็นธรรม เราลืมเสมอเป็นเราขี้เกียจ ไม่ชอบความขี้เกียจ ไม่อยากจะขี้เกียจ แต่ไม่รู้ธรรม เพราะฉะนั้นชาตินี้อาจจะขยัน ชาติหน้าก็ขี้เกียจได้ ขณะนี้กำลังขี้เกียจ ต่อไปก็อาจจะขยันได้แล้วแต่เหตุปัจจัย ขยันทำอะไรเวลาที่บอกว่าขี้เกียจ

        ผู้ถาม อย่างเช่นบางทีก็ขยันฟังเพลง แต่ขี้เกียจอ่านหนังสือเรียน

        สุ. เพราะฉะนั้นก็ต้องมีขยันอย่างหนึ่ง ขี้เกียจอย่างหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ตามการสะสม

        ผู้ถาม แล้วความขี้เกียจนี้คือเป็นวิริยเจตสิก

        สุ. วิริยะเกิดกับจิตทุกดวงเว้นอเหตุกจิต ๑๖ ดวง ซึ่ง ๑๐ ดวงนี้ทุกคนรู้ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ๑๐ แล้ว อีก ๖ ดวง สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ปัญจทวาราวัชชนะ

        ผู้ถาม ยังตอบตัวเองไม่ได้

        สุ. ยังตอบตัวเองไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่าขณะนี้ก็มีวิริยะเกิดแล้ว โลภะเกิดขณะใด วิริยะก็เกิดแล้ว โมหมูลจิตเกิดขณะใดก็มีวิริยะเกิดแล้วร่วมกันไป เว้น ๑๖ ขณะ ๑๖ ประเภทเท่านั้นที่ไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ก่อน ๑๐ ดวงจะเกิด จิตที่เกิดก่อนวิถีจิตแรก ปัญจทวาราวัชชนจิตก็ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่จำเป็นต้องมี อาศัยการประจวบกันอุปัติเหตุของสภาพธรรมที่กรรมเป็นปัจจัย ทำให้จักขุปสาทที่ยังไม่ดับ รูปารมณ์ที่ยังไม่ดับกระทบกัน เป็นปัจจัยให้เมื่อภวังคุปัจเฉทะดับ ปัญจทวาราวัชชนจิตก็เกิด นี่เป็นกระแสของชีวิต เป็นวิญญาณจริยา เมื่อเกิดแล้วความเป็นไปของวิญญาณจะต้องเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย วิญญาณ ๑๐ ดวง จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ไม่มีวิริยะเกิดร่วมด้วย ๑๑ สัมปฏิจฉันนะ ๒ ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ต่อไป สันตีรณะไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย เว้นอเหตุกจิต ๑๖ ขณะแล้ว จิตอื่นทั้งหมดๆ นี่ไม่เว้น มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 204


    หมายเลข 10675
    25 ม.ค. 2567