กรรมและผลของกรรม - วิบาก และ กัมมชรูป


        ผู้ฟัง ที่เรียกว่าวิบาก ก็เป็นจิต เจตสิก แต่ถ้าเกิดว่ารูปที่เกิดจากกรรม ตัวนี้เรียกว่าผลของกรรม หรือไม่

        ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เรียกว่าผลของกรรมแต่ไม่ใช่วิบาก เพราะฉะนั้นกรรมทำให้เกิดผลของกรรมที่เป็นกัมมชรูปซึ่งเป็นผลของกรรม และวิบากซึ่งก็เป็นผลของกรรมด้วย แต่กัมมชรูปไม่ใช่วิบาก

        ผู้ฟัง กัมมชรูปสามารถจะรู้ได้ไหม

        ท่านอาจารย์ หมายถึงว่ากัมมชรูปจะเป็นสภาพรู้ได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม

        ผู้ฟัง ไม่ใช่ เราจะสามารถรู้ได้ไหม จะเป็นอารมณ์ของจิตได้ไหม

        ท่านอาจารย์ คำตอบเดิม รู้ลักษณะของรูป และนาม หรือยัง

        ผู้ฟัง ยังไม่ทราบ

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะไปรู้กัมมชรูปได้ไหม

        ผู้ฟัง แต่ถ้าเกิดเป็นผู้มีปัญญาก็สามารถรู้ได้

        ท่านอาจารย์ แน่นอน เป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด แล้วแต่ว่าปัญญาระดับไหน

        ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นกัมมชรูป หรือผลของกรรมจะไม่ใช่เรื่องราว

        ท่านอาจารย์ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง

        ผู้ฟัง เพราะว่าเป็นผลของกรรมจึงได้มีรูปลักษณะอย่างนี้ๆ พอจะกล่าวได้ว่ารู้ลักษณะ

        ท่านอาจารย์ รูปของคุณวรศักดิ์ไม่ใช่รูปช้างใช่ไหม

        ผู้ฟัง ไม่ใช่

        ท่านอาจารย์ ไม่ใช่รูปนก

        ผู้ฟัง ไม่ใช่

        ท่านอาจารย์ รูปนี้เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน แต่ที่จะให้กล่าวละเอียดว่ากำลังสัมผัสส่วนหนึ่งส่วนใดของกายซึ่งอ่อน หรือแข็ง แยกได้ไหมว่าขณะนั้นเป็นกัมมชรูป หรือเป็นจิตตชรูป หรือเป็นอาหารชรูป หรือเป็นอุตุชรูป

        ผู้ฟัง แยกไม่ได้ แล้วอย่างรูปของคนอื่น ก็รู้คร่าวๆ ว่าเป็นกัมมชรูป

        ท่านอาจารย์ คือมีรูปที่เกิดจากสมุฏฐาน คือกรรมเป็นสมุฏฐาน จิตเป็นสมุฏฐาน อุตุเป็นสมุฏฐาน อาหารเป็นสมุฏฐาน ที่กายของสิ่งที่มีชีวิตจะมีสมุฏฐานทั้ง ๔

        ผู้ฟัง การที่ถูกล๊อตเตอรี่ หรือว่าได้รับสรรเสริญเป็นเรื่องราว ไม่ใช่ผลของกรรม ถ้าเกิดเป็นผลของกรรมก็คือ

        ท่านอาจารย์ มีทางที่กรรมจะให้ผลคือให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

        ผู้ฟัง อันนั้นเป็นจิต เจตสิก เป็นวิบากซึ่งไม่ใช่รูป ไม่ใช่เรื่องราว

        ผู้ฟัง คือในขณะที่เป็นเรื่องราว ขณะที่ดูหนังสือแล้วสอบได้ เป็นผลดี ขณะนั้นก็เป็นการสะสมของจิตที่นึกคิด เป็นคนละเรื่องกับผลของกรรม เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือไม่

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องทราบว่าขณะแรกของหนึ่งชาติที่กรรมให้ผลปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นทำกิจสืบต่อจากชาติก่อนนี่เป็นผลของกรรมหนึ่ง และเมื่อปฏิสนธิจิตดับ จิตที่เกิดสืบต่อดำรงภพชาติทำภวังคกิจก็เป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าจะให้หมดภวังคจิตเมื่อไหร่ จุติจิตเกิดก็จากโลกนี้ไป แต่ตราบใดที่กรรมยังให้ผลอยู่ แม้ว่าจะเห็น ได้ยินพวกนี้ ก็มีภวังคจิตเกิดสืบต่อจากวาระหนึ่งๆ ที่มีการเห็นการได้ยินทำให้ดำรงภพชาติอยู่ และถ้าไม่กล่าวถึงภวังคจิต ปฏิสนธิจิต และจุติจิต ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะใดที่เห็น ขณะนั้นก็เป็นผลของกรรม รวมทั้งวิบากจิตที่เกิดสืบต่อด้วยในวาระนั้น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส นี่คือผลของกรรม

        อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่การที่กรรมจะให้ผลนั้นก็มีปัจจัยหลายอย่าง การที่ได้เกิดมาในภพภูมิที่เป็นสุคติภูมิก็มีโอกาสที่จะได้รับผลของกุศลกรรมมากกว่าอกุศลกรรม การเกิดมาแล้วมีรูปร่างลักษณะที่ปกติครบอาการ ๓๒ ก็เป็นโอกาสที่จะได้รับผลของกุศลวิบากต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น เกิดมาในช่วงที่เป็นกาลสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของการฟังธรรม ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของการจะได้ดำเนินชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย นั่นก็กุศลกรรมก็มีโอกาสที่จะมาให้ผลมากขึ้น แต่แม้ว่าจะสะสมกุศลกรรมมามาก แต่อยู่ในกาลวิบากภาวะสงครามข้าวยากหมากแพงอย่างนี้ก็คงจะลำบาก และก็ความขวนขวาย (ปโยคะ) ของคนนั้นด้วย แต่เราจะมาตีรวมๆ ไม่ได้ เราก็จะต้องตรงกับสภาพธรรม อย่างภาษาศาสตร์ในทางโลก ถ้าเรามีจุดประสงค์เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ แล้วก็เพื่อที่จำได้มีอาชีพที่สุจริตแล้วก็เจริญขึ้นในทางกุศลก็เป็นสิ่งดี แต่ในขณะที่เรามีการศึกษาเล่าเรียน เราจะเหมาให้เป็นกุศลทั้งหมดไม่ได้ ในขณะที่เรากำลังสนใจใส่ใจการค้นคว้าในศาสตร์ทางโลก ขณะนั้นวิตกก็ตรึกไปในโลภะบ้าง เพราะฉะนั้นขณะที่เราเรียนรู้ ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศล แต่ว่าไม่ได้เป็นถึงขั้นอกุศลกรรมบถ แต่ก็เป็นผู้ที่สะสมอัธยาศัยที่จะมีความเพียรในการศึกษาศาสตร์นั้นไป เพราะฉะนั้นในขณะที่เป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล ขณะที่เป็นกุศลคือรู้ว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องสะสมศิลปะ เพราะว่าการดำรงชีวิตอยู่ในแต่ละชาติ ในแต่ละสังสารวัฏ ต้องมีอาชีพ ต้องมีการทำมาหากินตราบใดที่ยังเป็นคฤหัสถ์

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 200


    หมายเลข 10555
    25 ม.ค. 2567