ตามกิเลส


        ดูเหมือนจะกลัวกิเลสอกุศลที่น่ารังเกียจ แต่ความจริงแล้วส่วนใหญ่เป็นไปตามกิเลสอย่างมากมายด้วยความไม่รู้ เพราะมีการสะสม และคุ้นเคยที่กิเลสจะเกิด ได้ทันที การสะสมปัญญาจากการฟังพระธรรมเท่านั้นที่จะค่อยๆ ชำระกิเลสที่มากมายเหล่านี้ได้


        ท่านอาจารย์ คุณวิชัยรู้สึกอย่างไรได้ยินได้ยินคำว่ากิเลส กลัวไหม หรือชอบไหมหรือเป็นอย่างไรคะได้ยินคำว่ากิเลส ดีไหม อยากมีมากๆ ไหม

        อ. วิชัย เป็นสิ่งที่ไม่ดีครับ

        ท่านอาจารย์ ค่ะ ได้ยินคำว่ากิเลสไม่มีใครชอบนะคะ บอกคนนั้นมีกิเลส คล้ายๆ กับจะตกใจ บอกว่ามีกิเลส แต่ความจริงมีมาก และก็ไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เกิดมาลืมตาตื่นก็ตามกิเลสทั้งวัน เพื่ออะไรคะ เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงว่าเพราะไม่รู้ว่าเป็นกิเลส ได้ยินว่ากิเลส ไม่ชอบ ไม่อยากมี น่ารังเกียจไม่ดีเลยใช่ไหมคะ แต่หารู้ไม่ว่าตามกิเลสไปเรื่อยๆ ทุกวันเพราะไม่รู้

        เพราะฉนั้น จึงกล่าวให้เข้าใจความจริง เพราะถ้าไม่รู้ความจริงๆ แล้วไม่รู้ความจริงแล้วจะละกิเลสได้อย่างไร เพราะก็คิดว่าตัวเองไม่มีกิเลส แต่ถ้าคิดว่าวันหนึ่งๆ ตามกิเลสไปจริงมั้ย ถ้าจริง ชีวิตที่ผ่านมา ก่อนฟังธรรมเป็นอย่างไร และชีวิตที่กำลังเป็นอยู่ และได้ฟังธรรมะแล้วก็มีการฟังธรรมะขั้นการตามกิเลส แต่กิเลสเร็วนะคะ กำลังฟังธรรมะก็เกิดแทรกคั่นได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นกำลังของกิเลสจริงๆ ค่ะว่ามีหลายระดับ ขั้นที่ไม่รู้เลยเพราะบางเบามากเพียงแค่เห็นก็ติดข้อง แล้วกับขั้นที่ถึงกับปรากฏเป็นความติดข้องอย่างมาก หรือโทสะก็เป็นโทสะ อย่างแรง นี้ก็แสดงให้เห็นว่าวันทั้งวันก็เต็มไปด้วยกิเล สสลับขั้นกับการฟังธรรมะ ดีไหมคะ การฟังธรรมะดีแน่ และถ้าไม่ฟังเลยไม่เข้าใจเลยก็เต็มไปด้วยกิเลสตลอดชาติ แค่เอื้อมมือไปไม่ก็ตามกิเลสแล้ว พยักหน้าก็ตามกิเลส

        ผู้ฟัง ไม่ทราบเลยว่าเพราะต้องการจึงคิดเรื่องนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่ทันเอื้อมมือหรือว่าทำอะไร กิเลสต้องเกิดขึ้นแล้ว ใช่มั้ยครับ

        ท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่มีเรานะคะ แต่ว่ามีสภาพธรรมะที่เกิดขึ้น พอเห็น ขณะที่เห็นไม่ใช่กิเลส เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรม แต่ขณะที่เห็นไม่ใช่ว่าไม่มีกิเลสที่นอนเนื่องที่ยังไม่ได้ดับ แต่ขณะนั้นไม่มีกิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน แต่หลังจากขณะเห็นไปเพียงแค่ ๓ ขณะจิต กิเลสก็เกิดแล้ว อกุศลที่สะสมมาก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น เร็วมากเลยค่ะ ๓ขณะจิต

        ผู้ฟัง ๓ ขณะจิต กิเลสเกิดขึ้นแล้ว หมายถึง

        ท่านอาจารย์ หมายความว่าจักขุวิญญาณดับไป จิตที่เกิดต่อเป็นสัมปฏิจฉันนจิต เป็นผลของกรรมที่จะต้องรับอารมณ์นั้นสืบต่อโดยการที่ว่าไม่ได้ทำกิจเห็นเลย แต่จรดหรือมีอารมณ์นั้นที่จิตเห็นๆ ยังไม่เป็นอารมณ์อื่น เพราะกรรมทำให้ไม่ใช่เห็นตลอดเวลา แต่ว่าเห็นหนึ่งขณะเป็นผลของกรรม ดับแล้ว ผลของกรรมที่เกิดต่อก็คือสัมปฏิจฉันนจิต รับอารมณ์ต่อจักขุวิญญาณ แต่ไม่ทำทัศนกิจ ดับไปแล้วหนึ่งขณะ อีกหนึ่งขณะก็คือสันตีรณจิตเกิดสืบต่อรับอารมณ์ต่อจากสัมปฏิจฉันนจิต ดับไปแล้วโวฏฐัพพนวิถีจิต เกิดต่อ รับอารมณ์เดียวกันดับไปแล้ว ขณะนั้นอกุศลที่มีอยู่ที่สะสมไว้ก็มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นทำกิจการงาน เป็นกามาสวะ หรือเป็นภวาสวะ ก็แล้วแต่ อวิชาสวะนั้นมีแน่เวลาที่มีความติดข้องในสิ่งนั้นโดยที่ว่าไม่ปรากฏว่าเป็นความติดข้องให้รู้เพราะเร็วมาก เพียงแค่กระทบปรากฎก็ติดข้องแล้ว เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่าถ้าไม่เข้าใจจริงๆ จะไม่รู้เลยนะคะ ว่ามีกิเลสมาก เพราะฉะนั้นการที่รู้ตรงตามความเป็นจริงก็ยังเห็นว่าผู้ที่ได้ฟังธรรมก็ยังมีโอกาสที่ท่ามกลางกระแสของกิเลส จากภวังค์เป็นเห็น กิเลสเกิด แล้วก็เป็นภวังค์กระแสของภวังค์ แล้วก็มีการได้ยิน แล้วกิเลสเกิด แล้วก็เป็นภวังค์ไป ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม

        เพราะฉะนั้นกว่าสะสมความเห็นถูกจนกระทั่งค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ขณะนั้นจะนานสักเท่าไรที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ที่ใครจะเข้าใจพระธรรมผิด คิดว่าพระผู้มีพระภาคตรัสให้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ไปสู่ที่ต่างๆ เพื่อที่จะได้รู้สภาพธรรมไม่เป็นอย่างนั้นเลยนะคะ ใครจะไปไหนก็ไปด้วยกิเลส แล้วก็จะละกิเลสได้อย่างไรเพราะว่าไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนกว่ามีการฟังแล้วเข้าใจเพราะรู้ว่าไม่มีใครสักคนนอกจากธรรม เป็นจิต และเจตสิก และรูปซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้นก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จนกว่าปัญญาเพิ่มขึ้นค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ แล้วก็สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตรงตามที่ได้ฟังตามลำดับจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้

        ไม่มีใครทำให้กิเลสหมดแต่รู้ว่ามีปัจจัยที่ทำให้กิเลสเกิดคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความรู้ความเข้าใจทีละเล็กที่ละน้อย กิเลสก็ค่อยๆ ละลงไป ไม่มีอย่างอื่นเลยที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอกุศลได้นอกจากปัญญา


    หมายเลข 10532
    5 ก.พ. 2567