เข้าใจความจริงซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น


        ผู้ถาม อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดปุญญาภิสังขาร อปุญญา และอเนญชาด้วย ท่านอาจารย์จะช่วยอธิบายตรงนี้

        สุ. เวลาที่พูดถึงปฏิจจสมุปบาท และก็บอกว่าอวิชชาไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏคืออดีต อนาคต ปัจจุบัน ขณะนี้ใครก็ตามจะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด ถ้าขณะนี้กำลังสบายใจหรือว่ามีความสุขใจโสมนัส รู้ไหมว่าเพราะอะไร หรือว่าไม่มีอะไรปรากฏ ไม่มีอารมณ์อะไรเลย อยู่ดีๆ ก็สุขใจ โสมนัสขึ้นมาเฉยๆ ได้อย่างนั้นหรือเปล่า หรือว่าถ้าเป็นความไม่พอใจ เพราะอะไร เห็นอะไร ขณะนั้นก็ยังรู้ใช่ไหม อย่างนี้จะชื่อว่าเข้าใจปฏิจจสมุปบาทไหม เพราะผัสสะจึงมีเวทนาโดยชื่อ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าต้องมีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดปรากฏทางหนึ่งทางใด เช่นทางตาเห็นสิ่งที่น่าพอใจ สวย ชอบ อยากได้ ซื้อ นั่นคือผัสสะ การเห็นนั่นแหละ ถ้าไม่มีการเห็นจะเกิดความต้องการ ความพอใจในสิ่งนั้นได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นแล้วจึงได้เกิดความรู้สึกที่ชอบ จะเป็นอุเบกขา จะเป็นโสมนัสก็ตามแต่ ขณะนั้นเพราะมีการเห็นสิ่งนั้น หรือว่ามีการได้ยินก็ตามแต่ๆ ละทวารไป นี่ก็แสดงให้เห็นถึงปฏิจจสมุปบาทโดยไม่ต้องไปใช้ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท แต่ว่าเวทนาความรู้สึกทั้งหลายที่มีในขณะนี้เพราะกระทบกับอะไร ที่ใช้คำว่านานาธาตุ เพราะว่าแต่ละคนก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ แล้วแต่ผัสสะจะกระทบธาตุไหนทางทวารไหน ก็เป็นปัจจัยให้ความรู้สึกประเภทนั้นๆ เกิดขึ้น นี่คือปฏิจจสมุปบาทแล้ว ไม่ต้องไปตั้งต้นตรงข้อหนึ่งไล่ไปจนถึงข้อสุดท้าย แต่ขณะใดที่สามารถจะเข้าใจความจริงซึ่งอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ก็รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย

        ผู้ถาม อวิชชา เราคงจะแปลว่าไม่รู้เฉพาะแค่สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ว่าเขาก็รู้เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นปัจจัยให้ทำบุญก็ได้ หมายถึงนัยนี้เอง

        สุ. ก็พิสูจน์ได้ ขณะนี้กำลังเป็นกุศลใช่ไหม แล้วยังมีอวิชชาอยู่หรือเปล่า หรือไม่มีอวิชชาแล้ว นี่ก็คือความหมายนี้ แม้เป็นกุศลแต่ก็ยังมีอวิชชา ยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมทั้งหลายเป็นสาธารณเหตุ

        ผู้ถาม เป็นปัจจัยให้ทำบุญ แต่ว่าอนุสัยยังมีอยู่

        สุ. ยังไม่ได้ดับ

        ผู้ถาม อวิชชานี่ก็เป็นปัจจัยที่มีคุณก็ได้ เพราะเป็นปัจจัยให้ทำบุญใช่ไหม เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้จักสภาพธรรมๆ ที่เป็นฝ่ายวิวัฏฏะถูกไหมครับ

        สุ. ก็หมายความว่าตราบใดที่ยังมีอวิชชาอยู่ ก็จะต้องมีการกระทำที่เป็นสังขาร ยังไม่ได้ดับอวิชชา เพราะฉะนั้นก็ยังเป็นกิริยาจิตไม่ได้ถ้ากล่าวโดยประเภทของจิต

        ผู้ถาม ไม่รู้จะสรุปยังไงว่าอวิชชานี่มีคุณหรือมีโทษ

        สุ. ถ้ามีคุณก็คงจะไม่ต้องดับให้หมดใช่ไหม

        ผู้ถาม ถ้ามีคุณนัยที่จะพ้นวัฏฏะนี้ไม่มีคุณ อวิชชาเป็นปัจจัยให้อยู่ในวัฏฏะ

        สุ. เป็นปัจจัยไม่ได้หมายความว่าโดยเหตุปัจจัย ต้องเข้าใจละเอียดอีกว่าเป็นปัจจัยโดยปัจจัยอะไร เพราะฉะนั้นการศึกษาก็ศึกษาให้เข้าใจตามลำดับ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่การเป็นปัจจัยก็ต้องรู้ว่าปัจจัยอะไร อวิชชาจะเป็นปัจจัยแก่กุศลโดยเป็นเหตุปัจจัยไม่ได้ เกิดพร้อมกันไม่ได้ ไม่ใช่สหชาตปัจจัย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 195


    หมายเลข 10453
    25 ม.ค. 2567