ท่านพระสารีบุตรปรินิพพาน


        วันมาฆบูชาเป็นวันที่ท่านพระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ในขณะที่ถวายอยู่งานพัดพระผู้มีพระภาคที่ถ้ำสูกรขาตาขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม แก่ทีฆนขปริพาชกซึ่งเป็นหลานของท่าน เพราะฉะนั้นในวันสำคัญทางศาสนา ก็จะเป็นอนุสสติได้หลายอย่าง คือนอกจากระลึกถึงความสำคัญของวันมาฆบูชาแล้ว ก็ยังระลึกถึงเหตุการณ์ในตอนบ่ายตอนเย็น ซึ่งขณะนั้นทีฆนขปริพาชกได้ไปหาท่านพระสารีบุตรเพื่อที่จะไต่ถามทุกข์สุขที่ท่านได้อุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาค และท่านพระสารีบุตรก็ได้พาท่านซึ่งเป็นหลาน ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค และในขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ท่านพระสารีบุตรก็ถวายอยู่งานพัด และในขณะที่ฟังพระธรรมนั้นเองท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และกาลเวลาก็ได้ล่วงผ่านไป หลังจากที่ท่านได้เป็นพระอรหันต์แล้วประมาณ ๔๕ ปี

        ชีวิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่มีทุกข์ใจ แต่ว่ามีทุกข์กาย แม้พระผู้มีพระภาคและพระอัครสาวกและพระอรหันต์ทั้งหลายก็ไม่พ้นจากอดีตอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ อกุศลกรรมย่อมมีปัจจัยที่จะให้ผลได้ตราบที่ยังไม่ปรินิพพาน

        พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อรรถกถาจุนทสูตร (พระสารีบุตรปรินิพพาน)

        สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี ก็ในสมัยนั้นท่านพระสารีบุตร อยู่ ณ บ้าน นาฬกะคาม ในแคว้นมคธ อาพาธเป็นไข้หนัก ได้รับทุกขเวทนา ท่านสามเณรจุนทะเป็นอุปัฏฐากของท่านครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรปรินิพพานด้วยอาพาธนั้นแหละ

        ข้อความในอรรถคาถา จุนทะสูตรมีว่า

        ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาแล้ว เสด็จออกจากหมู่บ้านเวฬุวะ ไปเมืองสาวัตถีและประทับ ณ พระวิหารเชตวัน เมื่อพระสารีบุตรแสดงวัตรถวายพระผู้มีพระภาคแล้วก็ไปที่พักกลางวัน เพื่อนเหล่าอันเตวาสิกในที่นั้นแสดงวัตรแล้วหลีกไป ท่านจึงกวาดที่พักกลางวัน ปูแผ่นหนัง ล้างเท้าแล้วนั่งคู้บัลลังก์เข้าผลสมาบัติ ลำดับนั้น เมื่อท่านออกจากผลสมาบัติ ตามกำหนดแล้ว เกิดความปริวิตก ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายจักปรินิพพานก่อนหรือหนอ หรือว่าพระอัครสาวกปรินิพพานก่อน แต่นั้นท่านก็รู้ว่า พระอัครสาวกปรินิพพานก่อน ท่านจึงตรวจดูอายุสังขารของท่าน แล้วรู้ว่า อายุสังขารจักเป็นไปได้เพียง ๗ วัน เท่านั้น จึงคิดว่า เราจะปรินิพพานที่ไหน ลำดับนั้นจึงคิดอีกว่า ท่านพระราหุลปรินิพพานในดาวดึงส์พิภพ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะปรินิพพานที่สระฉัททันต์ เราจะปรินิพพานที่ไหน ดังนี้ จึงเกิดความสังเวชปรารภมารดาว่า มารดาของเราก็เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์ ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เลย ท่านมีอุปนิสัยหรือไม่หนอ

        เมื่อท่านได้เห็นอุปนิสัยแห่งพระโสตาปัตติมรรคของมารดาของท่าน จึงตรวจดูว่า มารดาของท่านจักบรรลุด้วยเทศนาของใคร ทราบว่า จักบรรลุด้วยธรรมเทศนาของท่านเท่านั้น มิใช่ของใครอื่น แล้วก็คิดต่อไปว่าก็ถ้าท่านพึงขวนขวายน้อย ก็จะมีผู้กล่าวว่า พระสารีบุตรเถระ เป็นที่พึ่งของคนที่เหลือทั้งหลาย แต่ว่าไม่อาจจะเปลื้องแม้เพียงความเห็นผิดของมารดาของตนได้ ท่านจึงตกลงใจที่จะเปลื้องมารดาของท่านจากความเห็นผิดและจะปรินิพพานในห้องที่เกิดนั่นแหละ ท่านให้ท่านสามเณรจุนทะไปบอกภิกษุบริษัท 500 รูปของท่านให้ทราบว่า ท่านจะไปบ้านนาฬกะ ภิกษุทั้งหลายก็เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวรไปสำนักของท่านพระสารีบุตรท่านพระเสรีบุตรเก็บเสนาสนะ กวาดที่พักกลางวัน และยืนที่ประตูพักกลางวัน ตรวจดูที่พักกลางวัน คิดว่า บัดนี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีการกลับมาอีกแล้ว

        ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป แวดล้อม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตข้าพระองค์ ขอพระสุคตทรงอนุญาต นี้เป็นกาลปรินิพพานของข้าพระองค์ อายุสังขารข้าพระองค์ปลงลงแล้ว ก็เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อตรัสว่า เธอจงปรินิพพาน ก็จะกลายเป็นสรรเสริญความตาย เมื่อตรัสว่าเธออย่าปรินิพพาน คนผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็จะยกโทษว่ากล่าวสรรเสริญคุณของวัฏฏะ ฉะนั้น จึงไม่ตรัส คำ แม้ทั้งสอง เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า เธอจะปรินิพพานที่ไหน สารีบุตร เมื่อท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักปรินิพพานในห้องที่ข้าพระองค์เกิดในบ้านนาฬกะ แคว้นมคธนั้น จึงตรัสว่า สารีบุตรเธอจงสำคัญเวลาในบัดนี้ ก็การเห็นภิกษุเช่นเธอ ของภิกษุผู้เป็นทั้งพี่และน้องของเธอจักหาได้ยากในบัดนี้ เธอจงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น

        ท่านพระสารีบุตรทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงประสงค์จะให้ท่านแสดงธรรมหลังจากที่แสดงอิทธิฤทธิแล้ว ท่านจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วเหาะขึ้นไปแสดงปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่างแล้วปรารภธรรมกถา ท่านพระสารีบุตรกล่าวธรรมกถาด้วยกายที่ปรากฏบ้าง ไม่ปรากฏบ้าง ด้วยกายเบื้องบน เบื้องล่าง หรือครึ่งกาย บางทีก็แสดงเป็นรูปพระจันทร์โดยไม่มีใครเห็น บางครั้งก็เป็นรูปพระอาทิตย์ บางครั้งก็เป็นรูปภูเขา บางทีก็เป็นรูปทะเล บางทีก็เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ บางทีก็เป็นเวสวัณมหาราช บางทีก็เป็นท้าวสักกมหาราช บางทีก็เป็นท้าวมหาพรหม

        เมื่อแสดงปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่าง อย่างนี้ ท่านพระสารีบุตรจึงกล่าวธรรมกถา ชาวพระนครทั้งสิ้นประชุมกันแล้ว ท่านเหาะลงแล้ว ได้ยืนถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระเถระว่า สารีบุตร ธรรมปริยายนี้ ชื่ออะไร ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ชื่อ สีหนิกีฬิตะ พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรได้เหยียดมือมีสีดังครั่งสด แล้วจับที่ข้อพระบาทเช่นกับลายเต่าทอง ของพระผู้มีพระภาค พลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์บำเพ็ญบารมีมาหนึ่งอสงไขยแสนกัปป์ ก็เพื่อถวายบังคมพระบาททั้งสองนี้ของพระองค์ มโนรถของข้าพระองค์ถึงที่สุดแล้ว บัดนี้ แต่นี้ไปการประชุมกันในที่เดียวกันด้วยอำนาจปฏิสนธิจะมิได้มีอีกแล้ว สมาคมก็จะมิได้มี ความคุ้นเคยกันได้ขาดแล้ว ข้าพระองค์จะเข้าสู่พระนิพพาน ที่ไม่แก่ ไม่ตาย เกษม มีสุข เย็นสนิทไม่มีภัย ที่พระพุทธ-เจ้าทั้งหลายเสด็จไปแล้ว ถ้าว่า พระองค์ไม่ทรงชอบพระทัย โทษไรๆ ของข้าพระองค์ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจา ขอพระองค์ทรงอดโทษนั้นด้วย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค นี้เป็นการไปของข้าพระองค์แล้ว

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สารีบุตร เราอดโทษต่อเธอ ก็โทษไรๆ ของเธอที่เป็นไปทางกาย หรือทางวาจา ที่ไม่ชอบใจเรา ไม่มีเลย สารีบุตร เธอจงสำคัญกาลอันควรเถิด พระผู้มีพระภาค เสด็จลุกขึ้นจากที่ฟังธรรมเสด็จมุ่งหน้าต่อพระคันธกุฎี และได้ประทับยืน ท่านพระเถระทำประทักษิณ ๓ ครั้ง ถวายบังคมในที่ ๔ แห่ง กราบทูลแล้วว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เลยไปหนึ่งอสงไขยแสนกัปป์แต่กัปป์นี้ ข้าพระองค์หมอบลง ที่ใกล้พระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ปรารถนาเห็นพระองค์ ความปรารถนาของข้าพระองค์นั้นสำเร็จแล้ว ข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว เป็นการเห็นครั้งแรก นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย การได้เห็นพระองค์ไม่ได้มีอีกแล้ว ดังนี้ แล้วประคองอัญชลี หันหน้าเฉพาะตราบเท่าที่จะเห็นได้ ถอยกลับแล้วถวายบังคม แล้วหลีกไป มหาปฐพีไม่อาจจะทรงไว้ได้ไหวจนถึงน้ำรองรับแผ่นดิน

        พระผู้มีพระภาค ตรัสกะภิกษุที่ยืนแวดล้อมว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงติดตามพี่ชายของพวกเธอเถิด ขณะนั้น บริษัท ๔ ละพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้พระองค์เดียวในพระเชตวัน ออกไปไม่เหลือเลย

        ฝ่ายชาวพระนครสาวัตถี พากันพูดว่า ข่าวว่า ท่านพระสารีบุตรเถระทูลลาพระผู้มีพระภาคแล้ว ประสงค์จะปรินิพพานออกไปแล้ว พวกเราจะไปนมัสการท่าน พากันถือเอาของหอมและพวงมาลัยเป็นต้น ออกไปจนแน่นประตูเมือง สยายผม ร้องไห้ คร่ำครวญ โดยนัยเป็นต้นว่า บัดนี้พวกเราเมื่อถามว่า ท่านผู้มีปัญญามากนั่งที่ไหน พระธรรมเสนาบดีนั่งที่ไหน ดังนี้ จะไปสำนักของใคร จะไปวางสักการะในมือของใคร เมื่อท่านพระเถระหลีกไปแล้ว ก็ได้ติดตามท่านพระเถระไป ท่านพระสารีบุตรเถระเพราะความที่ท่านดำรงอยู่ในปัญญามาก คิดแล้วว่า ทางนี้คนทั้งหมดไม่ควรก้าวเลยมา ก็ได้โอวาทมหาชนว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย แม้พวกท่านจงหยุด อย่าถึงความประมาทในพระผู้มีพระภาคเลย แล้วให้พวกภิกษุกลับ แล้วก็ท่านก็หลีกไปกับบริษัทของท่าน พวกชนเหล่าใดต่างคร่ำครวญว่า ครั้งก่อน พระผู้เป็นเจ้าสารีบุตร เที่ยวจารึกไปแล้วก็กลับมา บัดนี้ การไปนี้เป็นการไปเพื่อไม่กลับมาอีก จึงพากันติดตามอยู่อย่างนั้น พระเถระก็กล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ชื่อว่า สังขารทั้งหลายย่อมเป็นอย่างนี้ แล้วก็ได้ให้ชนเหล่านั้นกลับไป ท่านพระสารีบุตรได้แสดงธรรมสงเคราะห์ชนทั้งหลายตลอดเจ็ดวัน ในระหว่างทางนั้นก็พักแรมคืนเดียว ในที่ทุกแห่ง ได้ถึงบ้านนาฬกะเวลาเย็นและก็ยืนอยู่ที่โคนต้นนิโครธใกล้ประตูบ้าน

        ลำดับนั้น หลานของท่านพระเถระ ชื่อว่า อุปเรวัตตะ ไปนอกบ้านได้เห็นพระเถระแล้ว จึงเข้าไปยืนไหว้อยู่แล้ว ท่านพระเถระจึงกล่าวกับเขาว่า ยายของเธออยู่ในเรือนรึ อุปเรวัตตะก็กล่าวว่า อยู่ขอรับ ท่านผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า เธอจงไปบอกว่าเรามาที่นี้ เมื่ออุบาสิกาถามว่า มาเพราะเหตุไร ก็จงกล่าวว่า ข่าวว่า ท่านพระเถระจะอยู่ในบ้านตลอดวันหนึ่ง ในวันนี้ ท่านจงจัดแจงห้องสำหรับท่านพระเถระเถิด และท่านจงรู้ที่เป็นที่อยู่ของภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งอุปเรวตะก็ได้ไปแจ้งให้นางสารีพราหมณี มารดาของท่านพระสารีบุตรทราบตามนั้น นางสารีพราหมณี คิดว่า บุตรชายของเราทำไมถึงให้เตรียมที่อยู่แก่พวกภิกษุเท่านี้ ท่านบวชมาตั้งแต่หนุ่ม ตอนแก่คงอยากจะสึกกระมัง นางได้จัดแจงห้องที่ท่านพระสารีบุตรเกิด และก็ได้จัดที่พักของภิกษุ ๕๐๐ รูป ให้จุดเทียนและตะเกียงส่งไปถวายพระเถระ

        พระเถระพร้อมกับพวกภิกษุก็ขึ้นไปบนปราสาท เมื่อท่านพระสารีบุตรเข้าไปนั่งยังห้องที่ท่านเกิดแล้ว ท่านก็ให้พวกภิกษุไปพักผ่อนกันยังที่ของตนๆ พอพวกภิกษุไปแล้วเท่านั้น อาพาธอย่างกล้าก็เกิดขึ้นแก่ท่านพระสารีบุตร เวทนาปางตายเพราะถ่ายเป็นโลหิต ต้องเอาภาชนะหนึ่งเข้าไปรองรับ เอาภาชนะหนึ่งออกมา นางพราหมณี คิดว่า เราไม่ชอบใจความเป็นไปแห่งบุตรของเราเลย และก็ได้ยืนพิงประตูห้องที่อยู่ของตน

        ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูว่าท่านพระสารีบุตรอยู่ไหน เมื่อเห็นว่า ท่านนอนอยู่บนเตียงอันเป็นที่ปรินิพพาน ในห้องที่ตนเกิดในบ้านนาฬกะ ก็ได้พากันไปนมัสการเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อท่านพระสารีบุตรเห็นก็ถามว่าเป็นใครและเมื่อทราบว่าเป็นท้าวจาตุมหาราชมาเพื่อจะอุปัฎฐาก ท่านก็กล่าว ผู้อุปัฎฐากไข้ของท่านมีอยู่แล้วและท้าวจาตุมหาราชก็กลับไป เมื่อท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ไปแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพก็มาโดยนัยนั้นนั่นแหละ เมื่อท้าวสักกะไปแล้ว ท้าวมหาพรหมก็มาและก็กลับไปเหมือนอย่างนั้น เมื่อนางสารีพราหมณี เห็นพวกเทวดาพากันมาก็คิดว่า เทวดาเหล่านี้ ไหว้บุตรของเราแล้วก็ไป เพราะเหตุไรหนอ จึงได้ไปถามเรื่องนั้นกับท่านพระสารีบุตรว่า เจ้าใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้งสี่รึพ่อ ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า อุบาสิกา ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เหมือนศิษย์วัด ตั้งแต่พระผู้มีพระภาคของเราทรงปฏิสนธิ ท้าวมหาราชทั้งสี่ก็ถือพระขรรค์ รักษาแล้ว

        นางสารีพราหมณีถามว่า พ่อ คล้อยหลังท้าวจาตุมหาราชไปแล้วใครมาเล่า ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท้าวสักกะจอมเทพ นางสารีพราหมณีถามว่า เจ้าใหญ่กว่าจอมเทพหรือ พ่อ ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า อุบาสิกา ท้าวสักกะก็เช่นเดียวกับสามเณรผู้ถือสิ่งของ เวลาที่พระศาสดา เสด็จลงจากดาวดึงส์พิภพ ก็ได้ถือบาตรจีวรตามลงมา นางสารีพราหมณีถามว่า พ่อ หลังจากที่ ท้าวสักกะนั้นไปแล้ว ดูเหมือนสว่างไสว ใครมา ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อุบาสิกา นั่นคือท้าวมหาพรหม ผู้เป็นพระเจ้าและศาสดาของอุบาสิกา นางสารีพราหมณีกล่าวว่า พ่อยังใหญ่กว่ามหาพรหมพระเจ้าของแม่หรือ ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า อย่างนั้นอุบาสิกา เล่ากันมาว่า วันที่พระศาสดาของพวกเราประสูตินั้น ท้าวมหาพรหมทั้งสี่เหล่านั้น เอาข่ายทองรองรับพระมหาบุรุษ ขณะนั้น นางพราหมณีคิดว่า เพียงลูกของเรายังมีอานุภาพเท่านี้ พระศาสดาซึ่งเป็นพระศาสดาของลูกเราจักมีอานุภาพขนาดไหนหนอ

        พลันปีติห้าอย่างก็เกิดขึ้นแผ่ไปทั่วสรีระ พระเถระทราบว่า ปีติโสมนัสเกิดขึ้นแล้วแก่มารดา บัดนี้เป็นเวลาสมควรแสดงธรรม ท่านจึงกล่าวว่า อุบาสิกา ท่านกำลังคิดอะไร นางสารีพราหมณีกล่าวว่า แม่กำลังคิดถึงเหตุนี้ว่า เพียงลูกเรายังมีคุณถึงเพียงนี้ แล้วพระศาสดาของลูกนั้นจะมีคุณถึงเพียงไหน ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็ได้กล่าวว่า อุบาสิกา ในขณะที่พระศาสดาประสูติ ในขณะเสด็จออกผนวช ในขณะตรัสรู้ และในขณะประกาศธรรมจักร หมื่นโลกธาตุหวั่นไหวแล้ว ขึ้นชื่อว่าผู้ที่เสมอด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะไม่มี แล้วต่อจากนั้นท่านก็ได้แสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพระคุณของพระผู้มีพระภาค โดยขยายความละเอียดว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นต้น (ตามบทสรรเสริญพระคุณของพระผู้มีพระภาค)

        เวลาจบเทศนาของท่านพระสารีบุตร นางพราหมณี ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระเถระคิดว่า บัดนี้เราให้เท่านี้ก็ควรแก่มารดาแล้ว ค่าเลี้ยงดู สำหรับแม่พราหมณีสารี จักควรด้วยเหตุเท่านี้ ขณะนั้นเป็นเวลาจวนสว่างแล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วก็ให้พระจุนทะประคองให้นั่ง แล้วท่านกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโส เมื่อพวกท่านทั้งหลายเที่ยวไปกับผมตลอด ๔๔ ปี กรรมใดของผม ที่เป็นไปทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ซึ่งพวกท่านไม่ชอบใจ ขอให้พวกท่านจงอดโทษแก่ผมด้วย ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ย่อมไม่มีแก่พวกข้าพเจ้า ผู้ไม่ละท่านเที่ยวไป ดุจเงาของท่าน ตลอดกาลเท่านี้ แต่ว่า ขอท่านจงอดโทษให้แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

        ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรดึงมหาจีวรมาปิดหน้า นอนโดยข้างขวา เข้าสมาบัติ ๙ ตามลำดับสมาบัติทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลม เหมือนพระศาสดา แล้วเข้าปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้ว ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุนางสารีอุบาสิกาคิดว่า ลูกของเราไม่กล่าวอะไรเลยหรือหนอ จึงลุกขึ้นนวดหลังเท้าก็รู้ว่าปรินิพพานแล้ว เปล่งเสียงดังหมอบที่เท้า กล่าวว่า พ่อพวกเราไม่รู้คุณของพ่อ ก่อนแต่นี้ ก็บัดนี้แม่ไม่ได้เพื่อนิมนต์ภิกษุหลายร้อยหลายพัน หลายแสน ตั้งแต่พ่อให้นั่งฉันในนิเวศน์นี้ ไม่ได้เพื่อให้นุ่งห่มด้วยจีวร ไม่ได้เพื่อให้สร้างวิหารเป็นพัน ดังนี้ คร่ำครวญอยู่ จนถึงอรุณขึ้น เมื่ออรุณขึ้น นางก็ให้เรียกช่างทองมาให้เปิดห้องเก็บทอง และก็ให้นำทองคำออกมาโกฏิหนึ่ง ให้นายช่างทองกระทำเป็นบุษบกห้าร้อยยอดสำหรับไว้ศพท่านพระสารีบุตร เมื่อได้กระทำมหาบุษบกในท่ามกลางมณฑพสำหรับไว้ศพท่านพระสารีบุตร ทั้งขอบเขตบริเวณนั้นเสร็จแล้ว ก็ได้อาราธนาศพท่านพระสารีบุตรขึ้นไว้เหนือบุษบกทองคำ และก็ได้กระทำสักการะบูชาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน

        ซึ่งในครั้งนั้น อุปัฏฐายิกาผู้อุปัฏฐาก อุบาสิกาผู้อุปัฏฐากท่านพระเถระคนหนึ่งชื่อ เรวดี ก็คิดที่จะบูชาพระเถระ ก็ได้ให้ทำเสาดอกไม้ทอง ๓ ต้น และแม้ท้าวสักกก็คิดจะบูชาพระเถระ ผู้คนไปที่นั่นมากมาย จนเหยียบอุบาสิกานั้นตาย และอุบาสิกานั้นก็ได้เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และก็ได้ระลึกถึงอดีตกรรมว่าได้กระทำกุศลใด จึงทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็รู้ว่า เราชื่อนางเรวดี บูชาพระเถระด้วยเสาประดับด้วยดอกไม้ทองสามต้น ถูกพวกมนุษย์เหยียบแล้วตายไป เกิดในดาวดึงส์พิภพ เชิญท่านทั้งหลายดูสิริสมบัติของเรา บัดนี้ ถึงพวกท่านก็จงให้ทานทำบุญเถิด


    หมายเลข 10451
    22 พ.ย. 2566