ทุกข์ใจมีโอกาสที่จะคลายลงได้ -พฐ.194


        สุ. เพราะเหตุว่ากรรมที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่ากระทำกรรมอะไรไว้มาก ชาตินี้เราเห็นกรรมของคนอื่นได้รับโทษเพราะการกระทำนั้นๆ เพียงขณะที่เป็นชาตินี้เท่านั้น ถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงในกรรมจริงๆ ในเหตุในผล และมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นจนกระทั่งรู้ว่าไม่มีเรา นั่นก็เป็นประโยชน์สูงสุดของการที่ได้ฟังพระธรรม

        กุล ดิฉันเองก็เคยป่วยหรือว่าร่างกายไม่ดี ก็เกิดทุกข์ทางใจมากจนกระทั่งทำให้เกิดทุกข์ทางกายขึ้นมาอีก เกิดโรคกระเพาะขึ้นมา พอพิจารณาดูแล้วเพราะความที่รักตนเองจริงๆ ก็เลยเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ทางกายเกิดขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ก็มาจากกิเลสที่เรามีอยู่มากด้วย

        สุ. เพราะฉะนั้นทุกข์กายไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่ทุกข์ใจมีโอกาสที่จะคลายลงได้เมื่อได้ฟังพระธรรม และเข้าใจพระธรรม แต่ว่าทุกข์กายยังไงๆ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปยับยั้งผลของกรรมได้

        ผู้ฟัง ความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลกทุกชนิดกลัวความตาย อายุ ๙๐ ไปไหนไม่ได้แล้วก็ยังไม่อยากตาย ถึงแม้ว่าจะต้องนอนบนเตียงก็ยังไม่อยากตาย เพราะ ฉะนั้นถ้าจะบอกว่าเกิดเพื่อตาย ผมก็คงจะบอกว่าไม่ใช่สำหรับคนส่วนมาก

        สุ. แล้วตายหรือเปล่า

        ผู้ฟัง ต้องตายแน่นอน

        สุ. ก็ต้องตายเท่านั้นเอง ยังไงๆ เกิดมาแล้วก็ต้องตาย จะกลัวหรือไม่กลัวก็ต้องตาย แต่ตายแล้วไปไหน

        ผู้ฟัง ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่เคยสะสมกันไว้

        สุ. เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอกุศลกรรมให้ผล ก็จะไปสู่อบายภูมิหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก่อนตายควรจะเป็นกุศลเท่าที่จะเป็นได้

        ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรทำปัจจุบันคือสะสมกุศลให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

        สุ. ถึงแม้ว่าเราจะมีความสุขมาก มีความสนุกมาก มีความเพลิดเพลินมาก เวลาที่ตายแล้ว ความสนุก ความเพลิดเพลินเหล่านั้นจะช่วยให้เราไปสู่ที่ไหน ลองคิดดู ทุกคนหวังสุข เพลิดเพลิน สนุกสนาน ไม่พอเลยแต่ละวัน ทั้งเช้าโทรทัศน์ ทั้งค่ำ หนังสือต่างๆ อีกเยอะแยะ ระหว่างนั้นที่กำลังเป็นสุข สิ่งนั้นจะช่วยอะไรได้ถ้าจากโลกนี้ไปแล้ว จะช่วยให้เป็นสุขหรือช่วยให้เป็นทุกข์

        ผู้ฟัง ความสุขก็คงจะมีแค่ปัจจุบัน

        สุ. แต่ประโยชน์มีไหม

        ผู้ฟัง ประโยชน์คงจะไม่มี

        สุ. แม้ไม่มีประโยชน์ก็ยังคงต้องการอยู่ นี่คืออะไร โมหะ อวิชชา เพราะฉะนั้นถ้ายังมีอวิชชาอยู่ อกุศลทั้งหลายก็เจริญขึ้นแน่นอน แต่ว่าสภาพธรรมที่ตรงข้ามกับอวิชชาก็คือปัญญาๆ นำมาซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่าพอใจหรือเปล่า แน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลย ธรรมที่เป็นกุศลทั้งหมด ไม่ว่าจะประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญาก็เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอกุศล เพราะฉะ นั้นผู้มีปัญญารู้ว่าไม่สามารถที่จะละความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โผฏฐัพพะได้ก็จริง แต่ก็อบรมเจริญปัญญาที่จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นธรรมใดๆ ก็ตามเป็นอนัตตาทั้งหมด มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น แม้เพียงเข้าใจอย่างนี้เป็นกุศล เป็นประโยชน์ทั้งภพนี้ และภพหน้า ส่วนความเพลิดเพลินก็ยับยั้งไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยก็เกิด แต่ก็รู้ว่าเป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายปัญญา และฝ่ายกุศล

        ผู้ฟัง ในปัจจุบันสิ่งที่ล่อตา ล่อใจ จูงใจให้สนุกเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่ก็เยอะแยะ เพราะว่าคนส่วนมากก็หลง

        สุ. ถ้าศึกษาก็รู้ความจริงว่ามากด้วยอวิชชา และโมหะแค่ไหน เพราะฉะนั้นจึงมีโทษมาก และคลายช้า จะละอวิชชาหรือคลายอวิชชาลง ทำได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ด้วยปัญญา ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 194


    หมายเลข 10442
    25 ม.ค. 2567