ทุกอย่างเป็นธาตุแต่ละชนิด -พฐ.193


        สุ. เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีความเข้าใจจริงๆ มีความจริงใจที่จะเข้าใจธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ เราได้ยินได้ฟังอะไรแล้วเข้าใจเรื่องราวของสิ่งนั้น แต่ว่าต้องมีความค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากการฟังว่าเป็นธรรม โดยที่ว่าไม่ใช่เอามาเทียบว่าโลภมูลจิตมี ๘ อะไรขณะนี้ อสังขาริกเป็นยังไง สสังขาริกเป็นยังไง แต่เวลาเกิดไม่รู้ จะมีประโยชน์ไหม กับการที่เราฟัง และรู้ว่าปัญญาของเราจำกัดแค่ไหนเมื่อเทียบกับปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คงไม่ลืมจงอยปากยุงที่จุ่มลงในมหาสมุทร ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่มีข้อความนี้เลย ความห่างไกล และเราก็เพิ่งได้ยินได้ฟัง แล้วเราจะไปรู้หมดเลย หรือไปพยายามเข้าใจในสิ่งซึ่งขณะนั้นไม่มี แต่ขณะนั้นกำลังมีอะไร และถ้าสามารถจะเข้าใจสิ่งนั้น จะค่อยๆ เข้าใจเมื่อสิ่งอื่นปรากฏด้วย ไม่ว่าจะเป็นมานะ ไม่ว่าจะเป็นทิฏฐิ หรือจะเป็นสภาพธรรมใดก็ตาม เมื่อรู้ความเป็นธรรมของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ก็จะรู้ว่าทั้งหมดที่ฟังมาตัวจริงคืออย่างนี้ และขณะนั้นไม่มีชื่อด้วย เพราะฉะนั้นที่รู้เพียงชื่อ เราไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่เริ่มที่จะเข้าใจถูก แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้ความสามารถของตัวเองว่าสามารถจะรู้ตทาลัมพนะได้ไหม สามารถรู้ถีนมิทธเจตสิกได้ไหม สามารถจะรู้ผัสสเจตสิกได้ไหม มนสิการเจตสิกได้ไหม ชีวิตินทริยเจตสิกได้ไหม ถ้ารู้แล้วว่าเราไม่มีความสามารถอย่างนั้น เพราะเหตุว่าทุกอย่างเป็นอนัตตาจริงๆ การที่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่างกับพระอัครสาวก ต่างกับมหาสาวก และสาวกอื่นๆ ก็แสดงถึงการสะสมการปรุงแต่งของธาตุต่างๆ ไม่มีเราหรือว่าไม่มีตัวตนเลย เพราะฉะนั้นธาตุที่ปรุงแต่งมาเป็นเรา ณ ขณะนี้ มีความสามารถระดับไหนที่จะฟังแล้วก็เข้าใจ แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็ไม่หลงทางด้วยความเป็นเราที่ต้องการอย่างมาก ทำให้ทุกอย่างที่จะทำให้ปัญญาเกิด แต่ด้วยความเป็นตัวตนจึงไม่สำเร็จเพราะเหตุว่ามีความเป็นเรา ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้องว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ ฟังธรรม รู้ว่าผู้แสดงคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสามารถเข้าใจสิ่งที่ทรงแสดงในขณะนี้หรือยัง ถ้ายังกิจคืออะไร ไปศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้ได้หรือว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วสิ่งอื่นทั้งหลายเราจะไม่รู้ตัวเราเลยว่าเราแต่ละคนสะสมที่จะรู้อะไร แม้ในวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นก็ไม่มีการที่จะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิด และก็จะรู้อะไร แต่ว่าทุกอย่างก็เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความต้องการ พระพุทธศาสนาคำสอนทั้งหมดเพื่อละอกุศล ละขันธ์ ละทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเกิดแล้วก็ดับ เพราะเหตุว่าเห็นจริงๆ ว่าเป็นทุกข์ เกิดแล้วก็ดับ บางคนก็ถามว่าแล้วเหนื่อยไหม เห็นเหนื่อยไหม ได้ยินเหนื่อยไหม ทุกชาติเกิดมาก็เห็นอีก ได้ยินอีก เหนื่อยไหม จิต เจตสิกเกิดขึ้นทำกิจยับยั้งไม่ได้ ต้องเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ถ้าเบื่อหน่ายหรือเหนื่อยก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธาตุแต่ละชนิด ถ้าศึกษาเรื่องธาตุจะรู้ว่าการศึกษาโดยผู้ที่ไม่ได้ประจักษ์แจ้ง ความรู้เรื่องธาตุก็น้อยมาก และก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงของธาตุนั้นๆ ด้วย เป็นแต่เพียงชื่อที่จำจากประสบการณ์วิชาการต่างๆ เท่านั้น แต่ถ้าเป็นธาตุจริงๆ ใครบังคับบัญชาได้สักธาตุเดียว และแต่ละธาตุก็มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น และธาตุก็ต่างกันเป็นธาตุใหญ่ๆ ๒ ประเภทคือรูปธาตุกับนามธาตุ ถ้ามีแต่รูปธาตุไม่เดือดร้อนเลย ฝนจะตก น้ำจะท่วม ไม่มีธาตุรู้ใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่เดือดร้อน แต่ใครจะยับยั้งหรือไม่ให้มีนามธาตุได้ไหมในเมื่อเป็นธรรม ก็รู้ตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 193


    หมายเลข 10428
    25 ม.ค. 2567