ทั้งหมดเป็นเรื่องราวของความคิด


    เด่นพงศ์   ขออนุญาตอภิปรายเรื่องทุกข์อีกทีหนึ่ง คือ ผมเข้าใจว่า คำว่า “ทุกข์” หมายถึงสภาพที่ทนไม่ได้ ไม่ว่าใครจะทำให้เราไม่ชอบ หรือว่าเราทำตัวเราเอง เราก็เป็นทุกข์ได้ ทีนี้ผมก็เลยมานึกถึงคำว่า ที่จริง ทุกข์ไม่ใช่ว่าเขาทุกข์  เราทุกข์  เขาเป็นคนทำให้เราทุกข์หรือเปล่า บางทีเขาพูดเสียงดัง เรารำคาญหู หรือเสียงหมาเห่า เรารำคาญ สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราทุกข์ เราไม่ได้ทำของเราเอง คนอื่นทำให้เราทุกข์

    ส.   เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องเข้าใจตรงจริงๆ มิฉะนั้นแล้วเราก็จะเข้าใจผิด เช่นเวลาที่เราคิดว่า คนโน้นทำให้ คนนี้ทำให้ เราลืมเรื่องกรรมของเราเอง ทำไมเขาไม่ทำให้คนอื่น ทำไมต้องเป็นเรา ซึ่งสมัยหนึ่งก็จะใช้คำนี้กันมากเลยว่า “ทำไมต้องเป็นเรา”  แต่คำตอบของธรรมะก็คือว่า “ต้องเป็นเรา” เพราะว่าเราทำแล้ว เราได้เคยทำอย่างนั้นมาแล้ว เพราะฉะนั้น ผลที่เราได้รับก็เหมือนกับที่เราเคยทำ  ถ้าคิดอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ก็จะถูกต้อง เพราะเหตุว่าตามความเป็นจริงเป็นแต่เพียงความคิดนึกเรื่องราว แต่สภาพธรรมะจริงๆ  ก็จะไม่พ้นจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น แล้วก็เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ตึง หรือไหวที่กระทบกาย สภาพธรรมจริงๆ มีเท่านี้ แต่ด้วยความคิดนึกปรุงแต่งด้วยความไม่รู้สภาพที่แท้จริงของธรรมะเหล่านี้ ก็ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล แล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ทำให้เกิดสุข เกิดทุกข์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า ห้ามไม่ให้มีการช่วยเหลือ ห้ามไม่ให้ไปบอกเขาว่า เขาทำไม่ถูก แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม  เพราะอะไรคะ ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา  ไม่มีคำสั่งในพระพุทธศาสนา มีแต่คำสอน คำเทศนา สำหรับคฤหัสถ์ ถ้าสำหรับบรรพชิตก็ด้วยพระปัญญาคุณที่ทรงบัญญัติพระวินัย เพื่ออนุเคราะห์ในเพศบรรพชิตซึ่งเป็นผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน แล้วก็มุ่งมั่นที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศนั้น แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ใจของคนเต็มไปด้วยอกุศล หรือกิเลส ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ คิดว่าเป็นคนดี หลายคนก็เข้าใจว่า ตัวเองดี แต่ถ้าศึกษาธรรมะแล้ว ไม่ดีหรือดีมากกว่ากัน ถ้ารู้ความละเอียดของจิตใจก็จะเห็นได้ว่า ไม่ดีมาก แล้วคนอื่นล่ะคะ ถ้าเราไม่ดีอย่างนี้ คนอื่นเหมือนกับเราหรือเปล่า หรือว่ามากกว่าเรา

    นี่ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลซึ่งเราไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอย่างนั้น แต่ประโยชน์เกื้อกูลก็คือว่า ทางเดียวให้เขาเข้าใจพระธรรม จะโดยประการใดๆ ก็แล้วแต่ นั่นเป็นสิ่งซึ่งเมื่อเขาได้ข้อความเหตุผลของสภาพธรรมะตามความเป็นจริง ขึ้นอยู่กับปัญญาการพิจารณาของเขา ถ้าเขาแม้ฟัง แต่ก็ไม่ได้พิจารณาเหตุผลโดยความถูกต้อง ใครจะไปแก้คนนั้นได้ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย แต่ว่าผู้ที่ศึกษาธรรมะสามารถที่จะเข้าใจได้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเรื่องของความคิดนึกทั้งหมด เมื่อมีสิ่งใดกระทบตา คิดเรื่องนั้นยาว เมื่อมีสิ่งใดกระทบหู คิดเรื่องนั้นยาว แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ก็ไม่มีปรากฏ เสียงที่เคยได้ยินจะเป็นคำชม หรือคำติเตียนก็แล้วแต่ ขณะนี้ก็ไม่ได้ปรากฏ  มีสภาพธรรมะที่ปรากฏในขณะสั้นๆ แต่ว่าเรื่องราวความคิดนึกในสภาพธรรมะนั้นมากมาย  ที่จะทำให้เกิดความสุข ความทุกข์

    เมื่อศึกษาธรรมะแล้วจะเข้าใจได้ แล้วก็รู้ว่า ที่เราคิดว่าเป็นคนอื่น ก็คือความคิดนึกของเรา เพราะว่าคนอื่นก็คือปรากฏทางตา แล้วก็เสียงปรากฏทางหู หรือว่าจะกลิ่นปรากฏทางจมูก รสอาหารต่างๆ หรืออาจจะเป็นรสเนื้อ รสอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางลิ้น การกระทบสัมผัส กระทบกระทั่งกัน ก็คือการกระทบสัมผัสทางกาย เท่านี้ เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความคิดตลอดเวลา

    ตอนที่ทุกคนเกิด เห็นอะไรบ้างคะ ขณะแรกที่จิตเกิดในครรภ์ของมารดา เห็นอะไรบ้างคะ

    เด่นพงศ์   ไม่เห็นอะไร

    ส.   ได้ยินอะไรบ้างไหมคะ

    เด่นพงศ์   ไม่ได้ยิน

    ส.   ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัส ไม่รู้ทั้งนั้น แต่มีจิตเกิดแล้ว ไม่มีแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีอาหารเลย ขณะนั้นแม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดๆ กระทบ แต่จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ก็เกิดแล้ว พร้อมที่จะรับกระทบกับสิ่งที่กระทบตา  เมื่อเกิดแล้วมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็พร้อมที่จะรับกระทบ แล้วแต่ว่าสิ่งนั้นจะกระทบจักขุปสาท โสตปสาท ชิวหาปสาท ฆานปสาท  หรือกายปสาท เมื่อกระทบแล้วที่จะห้ามความคิดนึก เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมดาของสิ่งที่ปรากฏก็จะมีการคิดนึกถึงสิ่งนั้น ถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏเลย มีใครจะคิดถึงสิ่งนั้นได้บ้างคะ สิ่งที่ไม่เคยปรากฏ แล้วจะไปคิดถึงที่ไม่ปรากฏ จะชอบสิ่งที่ไม่ปรากฏ จะไม่ชอบสิ่งที่ไม่ปรากฏ ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เวลาที่มีสิ่งใดกระทบ หรือว่าจะเป็นทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย สิ่งนั้นหมดแล้ว แต่ความทรงจำเก็บไว้ จำได้ว่าตั้งแต่เด็กทำอะไรบ้าง  เล่นอะไรบ้าง สนุกอย่างไรบ้าง นี่คือความจำทั้งหมด ในเมื่อเรื่องทั้งหมด หมดไปแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นขณะนี้ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ที่ว่า เป็นคน ในขณะนี้ทั้งห้องก็มีแสงสว่าง แล้วก็มีสีต่างๆ ปรากฏ แล้วก็มีความทรงจำในรูปร่างสัณฐานว่า เป็นคน เป็นแก้วน้ำ เป็นโต๊ะ ถ้าเป็นคน ก็ยังจำชื่อได้ด้วยว่า เป็นใคร  นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ขณะที่เห็น  แต่ต้องเป็นขณะที่คิด

    เพราะฉะนั้น ถ้าคิดถูกก็ไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าคิดผิดว่า มีคนจริงๆ ที่ทำให้เราเดือดร้อน ไม่คิดว่าเป็นเพราะเราทำกรรมไว้จึงต้องมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย ที่จะกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็คิดนึกเป็นเรื่องราวต่างๆ


    หมายเลข 10263
    18 ก.ย. 2558