ได้แต่คิดว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน


        ผู้ถาม คือโดยปกติแล้วในระยะของการฟังธรรมใหม่ๆ ก็จะสงสัยมากเลยในเรื่องที่ท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีสัตว์ บุตคคล ตัวตน แต่จริงๆ แล้วเดินอยู่ก็มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่ ส่องกระจกดูก็เห็นว่าเป็นตัวตน

        สุ. เพราะอวิชชาหรือเปล่า เพราะไม่รู้หรือเพราะรู้ ถ้ารู้จริงๆ จิต เจตสิก รูป จิตเป็นตัวตนหรือเปล่า เป็นเราหรือเปล่า มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ เจตสิกเป็นเราหรือเปล่า มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ เจตสิกเป็นเราหรือเปล่า มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ รูปเป็นเราหรือเปล่า มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ตัวตนอยู่ที่ไหน

        ผู้ถาม แต่พอศึกษาธรรมมาก็ได้แต่คิดว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แล้วก็ได้แต่คิดว่าเป็นจิต เจตสิก รูป แต่โดยความเป็นจริงก็แว็บหนึ่งก็นี่ตัวเรา

        สุ. แล้วผู้ที่ท่านรู้จริงกับที่ท่านกล่าวว่าจิต เจตสิก รูป ประเภทต่างๆ ท่านรู้หรือเปล่าที่ท่านเป็นอย่างนั้น หรือท่านคิดเอาเองแล้วก็กล่าว หรือเพราะตรัสรู้จึงได้ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้น แล้วเรานับถืออะไร เรานับถือสัจจธรรมความจริงแท้ ซึ่งมีผู้ที่ได้แสดงความจริงแท้นั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคำว่า “พุทธ” และ “พุทธศาสนา” คำสอนของตรัสรู้ แล้วเราก็ศึกษาเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าไม่อยากเข้าใจถูกต้องก็ไม่ต้องศึกษาเลย ก็เป็นเราเดินไปเดินมา ใครจะว่าไม่ใช่เราก็ไม่ได้ เพราะว่าเราคิดว่าเป็นเราเพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้ก็คือจิต เจตสิก รูป

        เพราะฉะนั้นความรู้มีหลายระดับ ไม่ใช่ระดับเดียว ความรู้ชัด ความรู้แจ้ง ไม่ใช่รู้ชื่อ ในเมื่อสภาพธรรมกำลังปรากฏ และเรารู้เพียงชื่อ รูปารมณ์นี่เรารู้ สีก็รู้ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็รู้ แสดงว่าเรารู้เพียงชื่อ ไม่ใช่ความรู้ชัดในธาตุ วัณณะธาตุ สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นความรู้จึงมีหลายระดับที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไม่ใช่ระดับคิด แต่ระดับการประจักษ์แจ้ง แล้วทรงแสดงหนทางที่จะให้บุคคลอื่นอบรมเจริญปัญญาสามารถจะประจักษ์แจ้งด้วย แล้วผู้ที่ประจักษ์แจ้งแล้วเป็นพระอริยบุคคลก็มาก เพราะว่าท่านสะสมมาที่สามารถจะรู้ชัดรู้แจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงฟังแล้วเชื่อแล้วก็เข้าใจนั่นไม่พอ ยังไม่ได้ดับการยึดถือว่าเป็นเราได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่การประจักษ์แจ้ง ถ้าขณะนี้มีความเห็นถูกว่าสภาพธรรมที่เกิดในขณะนี้เกิดแล้วเพราะปัจจัย ใครไปปฏิบัติหรือใครไปทำให้สภาพธรรมนี้เกิด แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วจึงปรากฏ ก็ไปปฏิบัติ

        ขณะใดที่ไปปฏิบัติหรือปฏิบัติ ขณะนั้นไม่ได้รู้ความจริงว่าขณะนี้สภาพธรรมที่ปรากฏกำลังเกิดดับ แล้วก็เกิดแล้วจึงปรากฏด้วย แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงเพราะไปปฏิบัติหรือปฏิบัติแต่ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิดแล้ว ก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจความจริงว่าสภาพธรรมนั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็โดยที่ว่าไม่มีใครไปปฏิบัติให้เกิดด้วย ที่จะไปปฏิบัติจะไปปฏิบัติให้อะไรเกิด ถ้าคิดว่าปฏิบัติคือทำ จะไปทำให้อะไรเกิดในเมื่อเดี๋ยวนี้เกิดแล้วทั้งนั้น ทุกขณะนี้เกิดแล้วทั้งนั้นโดยที่ไม่มีใครทำเลย แต่มีความเข้าใจได้ถูกต้องว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกต้อง

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 182


    หมายเลข 10195
    25 ม.ค. 2567