หลับแล้วในวัฏฏะ


        ท่านอาจารย์ ขณะนี้หลับ หรือตื่น

        อ.อรรณพ มีข้อความว่า ผู้ที่ยังถูกชักจูงไปด้วยความไม่รู้ธรรมะ ชื่อว่า ยังหลับไม่ตื่น และในอรรถกถาขยายว่า เทวดาจึงกล่าวว่า ก็มหาชนเหล่านี้หลับแล้วในวัฏฏะ ยังไม่ตื่น

        ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นวัฏฏะ หรือเปล่าคะ

        อ.อรรณพ เป็นครับ

        ท่านอาจารย์ เพราะวัฏฏะคืออะไร

        อ.อรรณพ คือ เห็น ได้ยิน คิดนึก

        ท่านอาจารย์ สภาพธรรมะที่เกิดแล้วดับสืบต่อ ยังคงสืบต่ออยู่ตราบใดก็ยังคงเป็นวัฏฏะอยู่ตราบนั้น แล้วก็วนเวียนไป ไม่มากเลย ทางตา ๑ ทางหู ๑ ทางจมูก ๑ ทางลิ้น ๑ ทางกาย ๑ทางใจ ๑ เท่านั้นเอง จะไม่พ้นไปจากทั้ง ๖ ทางนี้เลย ขณะนี้กำลังเห็น หลับ หรือตื่น เพราะเป็นวัฏฏะ ขณะนี้กำลังได้ยิน หลับ หรือตื่น

        อ.อรรณพ ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะก็ต้องหลับ

        ท่านอาจารย์ กำลังหลับอยู่ เพราะเห็นหมดแล้ว เหมือนในความฝัน มีทุกอย่างในความฝัน พอตื่นขึ้นก็ไม่มีอะไรอย่างในฝันเหลืออีกเลย นั่นเพียงแต่เปรียบเทียบ ฉันใด ขณะนี้ก็มีเห็น มีได้ยิน แต่ดับหมดแล้ว ไม่ได้กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏก็เป็นอย่างนี้

        เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า หลับอยู่ในวัฏฏะ ยังไม่ได้ตื่นขึ้น สบายดีไหมคะ หลับแต่ว่าฝัน เพราะฉะนั้น ขณะนี้เหมือนฝันไหมคะ เห็นแล้ว ดับแล้ว หมดแล้ว ได้ยินแล้ว ดับแล้ว หมดแล้ว คิดเกิดแล้วดับแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย เหมือนฝันไหม

        เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ยังไม่ตื่นค่ะ ยังหลับอยู่ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ หมดแล้ว เหมือนในฝัน ยังไม่ตื่นเลย แล้วจะตื่นเมื่อไร มีโอกาสจะตื่นไหมคะ คุณนีน่าบอกว่า เดี๋ยวนี้ ตื่นตรงไหน ตอนไหน ขณะไหน เวลาไหน ที่ชื่อว่าตื่น

        คุณนีน่า ตื่นตอนมีโอกาสฟังธรรมะ ที่นี่มีโอกาสฟังมากกว่าฮอลแลนด์

        ท่านอาจารย์ ฝัน หรือเปล่า ฝัน เพราะฉะนั้น แม้แต่พูดว่า อยู่ฮอลแลนด์ได้ฟังน้อย แม้แต่เพียงคำว่า “ฮอลแลนด์” ฝัน หรือเปล่า ฝันตลอดจนกว่าลักษณะของสภาพธรรมะปรากฏ ฝันว่าฟังธรรมะ ฝันว่าไม่มีใคร มีแต่สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในฝัน เพราะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนี้

        เพราะฉะนั้น ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน วันนี้ฝันนานไหมคะ

        อ.อรรณพ ยาว

        ท่านอาจารย์ ทั้งวัน ถ้าขณะนั้นไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏ เพียงแค่นิดเดียว ยังไม่ทันจะรู้จริงก็ฝันต่ออีกแล้ว

        เพราะฉะนั้น จะเป็นผู้ตื่นจริงๆ เพราะรู้จริงๆ แล้วก็เบิกบานที่สามารถเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง และหลงไม่รู้มานานแสนนาน จึงเบิกบานที่ได้รู้ความจริง

        เพราะฉะนั้น ในขณะที่ฟังเบิกบาน หรือเปล่า สบายใจที่ได้ฟัง มีความสุขที่ได้ฟัง คือ เบิกบาน ลองฟังเรื่องอื่นซิคะ เบิกบานไหม ตรงกันข้ามเลย ฟังเรื่องอื่นที่จะให้เบิกบานเหมือนกำลังฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงขณะนี้แล้วเข้าใจ เป็นไปไม่ได้เลย นั่นคือความหมายของเบิกบาน ถ้ายังไม่รู้ความจริง ยังฝันอยู่ หรือเปล่า จะรู้ว่า ฝัน หรือตื่น ก็ต่อเมื่อกำลังมีสภาพธรรมะปรากฏแล้วรู้ตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็ตื่นมาชั่วคราว แต่ยังไม่ถึงกับเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นจริงๆ ผู้เบิกบานที่มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะ แต่ก็ยังดี ฝันดี ฝันว่าฟังธรรมะ

        อ.อรรณพ แต่ก็ยังฝันอยู่ดี ไม่ตื่น

        ท่านอาจารย์ แต่ก็ยังรู้ว่า ฝันดีใช่ไหมคะ คือได้ยินได้ฟังเสียงที่ทำให้เข้าใจธรรมะได้ บางคนอาจจะฝันว่า ไปที่พระวิหารเชตวันได้ฟังธรรม ก็เป็นได้อย่างนั้นก็ฝันดี แต่เหมือนเดี๋ยวนี้ไหม เพราะว่าหมดแล้ว ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝัน หรือเข้าใจว่าตื่นแล้วเป็นจริงก็ตามแต่ แต่ก็ไม่ใช่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็ยังฝันอยู่ ฝันหลายเรื่อง ฝันว่าฝัน มีไหมคะ

        อ.อรรณพ ซ้อนไปอีก

        ท่านอาจารย์ ก็ได้

        อ.อรรณพ เมื่อกี้ท่านอาจารย์คุยกับคุณนีน่าว่า แม้จะคิดเรื่องฮอลแลนด์ ขณะนั้นก็ฝันแล้ว

        ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ

        คุณนีน่า เป็นเรื่อง เพราะคิดเรื่องเสมอ

        อ.อรรณพ หรือแม้ยังไม่ต้องคิดถึงฮอลแลนด์ คิดว่าตอนนี้นั่งอยู่ที่มูลนิธิ ก็ฝันแล้ว

        คุณนีน่า ไม่เอาเรื่อง เพราะรู้ปรมัตถธรรมที่เกิดขึ้น

        ท่านอาจารย์ ฝันก็สนุกดีนะคะ มีเสียงหัวเราะในฝัน เพราะนี่ก็เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งหมดก็คือหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ก็อยู่ในฝันต่อไปจนกว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ และเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

        จะไม่เหมือนฝันได้อย่างไร ทุกอย่างมีปรากฏแล้วก็หมดไป แต่ก็มาฝันดี คือฟังธรรมะกันต่อไป เพื่อจะได้ตื่นขึ้น เหมือนฝันจริงๆ คืนนี้ฝัน คืนก่อนฝัน คืนไหนๆ ฝัน ก็คือเพียงคิด เดี๋ยวนี้ตื่นแล้ว ไม่ว่าจะเห็นอะไร ที่ต่างกับฝันก็คือในฝันไม่มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ อย่างเห็น หรือได้ยิน ต่างกันตรงนี้นิดเดียว

        เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่คิดถึงขณะที่เห็นจริงๆ ได้ยินจริงๆ ทั้งหมดก็เป็นฝันนั่นแหละ เพราะเหตุว่าต้องอาศัยทางใจ โดยที่ไม่มีการเห็น ก็ยังนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยเห็นได้

        เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะก็ทำให้รู้จริงๆ ว่า ขณะที่กำลังเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ต่างกับขณะที่ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ เช่น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ก็ยังคงเป็นเรื่องราว เพราะขณะนั้นแม้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมี แต่ก็ไม่ได้รู้ลักษณะที่แท้จริง จึงไม่ใช่การตื่น

        ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจความหมายที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ยังไม่ตื่น เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังคงมีสิ่งที่ปรากฏทางใจมากมาย โดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเลย ไม่ต่างกับฝัน

        เพราะฉะนั้น ฝันก็คือคิด เหมือนเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเราไม่สนใจ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ก็เหมือนฝันใช่ไหมคะ

        เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือเดี๋ยวนี้ได้ฟังพระธรรม และสามารถตื่น คือ เริ่มรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ถ้ายังไม่รู้ ไม่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นฝั


    หมายเลข 10120
    18 ก.พ. 2567