เย็นเป็นธรรมดา


        ท่านอาจารย์ คุณวิชัยกระทบเย็นไหมคะ เดี๋ยวนี้มีเย็นกระทบไหม เพราะว่าดิฉันมีเย็นกระทบ มีเย็นปรากฏไหมคะ

        อ.วิชัย ก็มีทางกายครับ

        ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องทางกาย หรืออะไรเลย มีเย็นใช่ไหมคะ

        อ.วิชัย ก็มีครับ

        ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดา หรือเปล่า

        อ.วิชัย เป็นธรรมดาครับ

        ท่านอาจารย์ หรือเป็นเราเย็น หรือเรารู้สึกเย็น หรือเย็นนั่นแหละเป็นธรรมดา ถ้าใช้คำนี้หมายความว่า เข้าใจเย็นเพียงเย็น สักแต่ว่าเย็น หรือสักแต่ว่ารู้เย็น

        นี่ต่างกันแล้ว จากการที่ธรรมดาทุกอย่างขณะนี้ ไม่พูดถึงเห็นแล้ว บ่อยๆ แล้ว เปลี่ยนมาเป็นเย็น เพราะว่ากำลังกระทบเย็น เย็นปรากฏ

        เพราะฉะนั้น เย็นปรากฏกับคนที่ไม่เข้าใจธรรมะเลย ถามเขาก็บอกว่า เย็น แต่เขารู้ไหมว่า เย็นเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาที่ต้องเกิด ปรากฏ กระทบแล้วก็หมดไป

        เพราะฉะนั้น ความเข้าใจสิ่งที่มีธรรมดาต้องเพิ่มขึ้น จึงสามารถเข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรมะ” แล้ว “ไม่ใช่เรา” แล้ว “เป็นอนัตตา” แล้วถ้าขณะนั้นปัญญาเข้าใจจริงๆ สักแต่ว่าเย็น กว่าจะเป็นสุจริต ๓ บริบูรณ์ได้ ก็ต้องมีสภาพธรรมะที่เป็นกุศลเกิดขึ้น เพราะเมื่อเป็นกุศลขณะใด กายไม่ทุจริต วาจาไม่ทุจริต ใจก็ไม่ทุจริต

        เพราะฉะนั้น การที่เราไม่เข้าใจธรรมะแล้วไปอ่าน แล้วไปหา ก็ยาก เหมือนกับว่ามีข้อความที่เราจะต้องตามไป แต่ถ้าเข้าใจธรรมะแล้วทุกอย่างเป็นธรรมดา

        เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า “เย็น” ขณะนี้เป็นธรรมดา หรือเปล่า ตอบว่าเป็นธรรมดา เพราะเหตุว่าเข้าใจว่า เป็นธรรมะ ซึ่งลักษณะที่เย็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง

        นี่ก็เพียงแต่เย็นแล้วก็ผ่านไป เย็นแล้วก็ผ่านไปเหมือนเดิม แต่ความเข้าใจเย็นนั่นแหละเริ่มที่จะเป็นผลของการฟังธรรมะ

        เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ไปเข้าใจตอนอื่นเลย และไม่ใช่ไปหวังว่าจะเข้าใจตอนนั้น ตอนนี้ แต่ความเข้าใจที่เป็นสังขารขันธ์ เป็นสภาพที่ค่อยๆ น้อมไปสู่การรู้ความจริงด้วยความเห็นถูกในสิ่งนั้นๆ ไม่มีใครต้องไปทำอะไรเลย กำลังทำอยู่แล้วในขณะนี้ คือ ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งสภาพธรรมะใดปรากฏ ก็ไม่ใช่ปรากฏแล้วผ่านไปเหมือนเดิม แต่ยังเข้าใจในลักษณะที่เป็นธรรมะ ในลักษณะที่แม้ปรากฏหมดไปก็เป็นธรรมดา

        เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่เย็น อย่างอื่น เช่น โลภะเกิดขึ้น ลักษณะนั้นก็มีความติดข้องเป็นธรรมดา หรือเปล่า เห็นไหมคะ ถ้าไม่เข้าใจว่า เป็นธรรมะ ก็เรากระสับกระส่าย กระวนกระวาย เดือดร้อน ดิ้นรน แต่ถ้ารู้ว่า เป็นธรรมดา เป็นธรรมดานี่แสดงว่า สักแต่ว่าเป็นโลภะ เพราะเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วก็หมดไป ไม่ใช่เรา สักแต่ว่า คือไม่ใช่ของเราอีกต่อไป เป็นแต่เพียงธรรมะอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

        เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เราฟังก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน แล้วแต่จะเกิดเข้าใจเมื่อไร เลือกไม่ได้ แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจน นั่นแสดงว่า เราเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย อาจจะกำลังรู้ลักษณะที่เย็น ขณะนั้นหมด โดยไม่เข้าใจอะไรเลย หรือขณะที่รู้ลักษณะที่เย็น เพียงเย็นปรากฏ ไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย เริ่มละเอียดขึ้น เริ่มชัดขึ้นว่า ขณะนั้นไม่มีอะไร และถ้ายึดถือว่าเย็นนั้นเป็นเรา ก็จะได้รู้โดยไม่ต้องถามว่า เมื่อไรเห็นผิดว่า รูปเป็นเรา ก็ขณะนั้นแหละที่รูปปรากฏแล้วก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ยึดถือว่าเราเย็น แล้วก็ยึดถือว่า เย็นเป็นธาตุลมที่มากระทบกาย ขณะนั้นก็เป็นความเห็นผิดที่ไม่ตรงว่า เพียงเย็นเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

        เพราะฉะนั้น การที่ทุกอย่างจะเป็นเพียงธรรมะ ซึ่งเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วดับไป จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า “สักแต่ว่า” ทุกอย่างค่ะ เพียงแค่เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ สุจริต ๓ จะมีไหมคะ


    หมายเลข 10113
    18 ก.พ. 2567